ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023 จิมมี คิมเมล ได้รับการประกาศให้เป็นพิธีกรของงาน เขากลับมาเป็นพิธีกรงานระกาศผลรางวัลออสการ์เป็นปีที่สี่และเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน[3] ในวันเดียวกันนั้นเอง ภรรยาของเขา มอลลี่ แม็กเนียร์นีย์ ได้รับการประกาศให้กลับมารับหน้าที่ผู้อำนวยการพิธีนี้ [3]

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2023 เอบีซี และสถาบันฯ ประกาศว่าเวลาเริ่มต้นของพิธีจะขยับขึ้นหนึ่งชั่วโมงเป็น 16:00 น. ตามเวลาแปซิฟิก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สามารถออกอากาศรายการไพรม์ไทม์ ได้ครึ่งชั่วโมง[42] การเริ่มต้นพิธีล่าช้าไปหกนาทีเนื่องจากการประท้วงสงครามอิสราเอล–ฮามาส นอกโรงละคร [43] [44] [45]

มีการประกาศผู้นำเสนอหลายชุดเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024[37] มีการประกาศการแสดงในอีกสองวันถัดมา[38] แม้ว่าการแสดง ของไรอัน กอสลิง ในเพลง " I'm Just Ken" จาก บาร์บี้ จะได้รับการรายงานโดย วาไรตี้ เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ก็ตาม [46] หลังจากมีการประกาศผู้นำเสนอชุดแรก The Hollywood Reporter รายงานว่าสถาบันฯ จะรื้อฟื้นรูปแบบการนำเสนอยอดนิยมที่เคยใช้ในพิธีครั้งที่ 81 [47] โดยที่นักแสดงที่ได้รับรางวัลออสการ์ห้าคนสำหรับการแสดงนำและสนับสนุนได้ขึ้นเวทีร่วมกันเพื่อแนะนำผู้ได้รับการเสนอชื่อในพิธีปัจจุบันตามประเภทรางวัลที่ตนได้รับ[48] David Alan Grier ได้รับเลือกให้เป็นโฆษกของงาน[49]

ผู้ออกแบบงานสร้าง อลานา บิลลิงส์ลีย์ และมิสตี้ บัคลีย์ ออกแบบเวทีที่ "น่าดึงดูด เต็มไปด้วยสีสัน และเป็นกันเอง" ตลอดระยะเวลาเก้าเดือน ตามคำกล่าวของทั้งสองคน พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก พื้นที่ร่วมสมัย ที่ผู้คนสามารถ "พบปะ แลกเปลี่ยน สร้างสรรค์ได้ เหมือน พลาซ่า ในยุคปัจจุบัน" [50] เวทีใช้ "ปูนปลาสเตอร์เนื้อนุ่ม สีขาวนวล และโทนสีที่ดึงการออกแบบทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน" [50] ผู้กำกับพิธีต้องการให้เวทีรู้สึกดื่มด่ำ สร้างสรรค์ ใกล้ชิด อบอุ่น และนุ่มนวล[50] ตลอดทั้งพิธี เวทีได้เปลี่ยนการออกแบบเล็กน้อยเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ได้รับการเสนอชื่อ หมวดหมู่บทภาพยนตร์ประกอบด้วยภาพของ เครื่องพิมพ์ดีด จริง ในขณะที่หมวด การออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม จัดแสดงภาพของเครื่องแต่งกายที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหลายรายการ[50]

กฎความหลากหลาย

ครั้งนี้เป็นปีแรกที่บังคับใช้กฎความหลากหลาย สำหรับสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2020 ภายใต้ความคิดริเริ่มของ Academy Aperture 2025 ทางสถาบันได้กำหนด "มาตรฐานการเป็นตัวแทนและการไม่แบ่งแยก" ซึ่งภาพยนตร์จะต้องปฏิบัติตามจึงจะสามารถแข่งขันในประเภทนี้ได้[51] สำหรับงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 และ 95 (ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2021 และ 2022) ผู้สร้างภาพยนตร์จำเป็นต้องส่งแบบฟอร์ม "Academy Inclusion Standards" ที่เป็นความลับเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น [52] มีมาตรฐานทั่วไปสี่ประการ ซึ่งภาพยนตร์จะต้องเป็นไปตามสองมาตรฐานจึงจะได้รับการพิจารณาให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: (ก) "การนำเสนอบนหน้าจอ ธีม และการเล่าเรื่อง"; (ข) "ความเป็นผู้นำเชิงสร้างสรรค์และทีมงานโครงการ"; (ค) "การเข้าถึงและโอกาสทางอุตสาหกรรม"; และ (ง) "การพัฒนาผู้ชม" [51]

ตามที่อธิบายโดย Alissa Wilkinson จาก Vox ในปี 2020 มาตรฐาน "โดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่: มาตรฐานที่ส่งเสริมการเป็นตัวแทนที่ครอบคลุมมากขึ้น และมาตรฐานที่ส่งเสริมการจ้างงานที่ครอบคลุมมากขึ้น" [52] มาตรฐานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้โอกาสในการจ้างงานมากขึ้นสำหรับกลุ่มเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ผู้หญิง คน LGBTQ+ และบุคคลที่มีความบกพร่องทางกายภาพและ/หรือทางสติปัญญาที่ด้อยโอกาส[51]

ผลงานบ็อกซ์ออฟฟิสของผู้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

เมื่อมีการประกาศการเสนอชื่อ ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมทำรายได้รวม 1.09 พันล้านดอลลาร์ในบ็อกซ์ออฟฟิสของอเมริกาและแคนาดาในขณะนั้น [53] บาร์บี้ เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในบรรดาภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยมีรายรับจากบ็อกซ์ออฟฟิสในประเทศถึง 636 ล้านดอลลาร์ ออพเพนไฮเมอร์ มาเป็นอันดับสองด้วยรายได้ 327 ล้านดอลลาร์ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม บาร์เบนไฮเมอร์ คิดเป็น 88% ของรายได้บ็อกซ์ออฟฟิสสะสมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมก่อนที่จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง [54] ออพเพนไฮเมอร์ กลายเป็นผู้ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ทำรายได้สูงสุดนับตั้งแต่ ลอร์ดออฟเดอะริงส์: มหาสงครามชิงพิภพ ในงาน ประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 76 ในปี 2547 นอกจากนี้ยังกลายเป็นเรื่องแรกที่ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศในรอบทศวรรษนับตั้งแต่ แผนฉกฟ้าแลบ ลวงสะท้านโลก ใน งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 85[55]

ข้อวิจารณ์

พิธีนี้ได้รับการวิจารณ์เชิงบวกเป็นส่วนใหญ่[56] ด้วยการแสดงดนตรีเพลง "I'm Just Ken" และ "Wahzhazhe (A Song for My People)" จอห์น มูลานีย์ สรุปเนื้อเรื่องของ Field of Dreams ขณะมอบรางวัลสำหรับ เสียงยอดเยี่ยม, การปรากฎตัวในลักษณะเปลือยเกือบทั้งหมดของ จอห์น ซีนา เพื่อนำเสนอรางวัล การออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และผู้ชนะการแสดงในอดีตที่นำเสนอผู้เข้าชิงรางวัลสาขาเดียวกับตนในปีปัจจุบัน ถือเป็นไฮไลท์ของพิธีนี้[57] [58] [59] อย่างไรก็ตาม หมวด In Memoriam ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้เสียสมาธิเกินไป ชื่อและใบหน้ามีขนาดเล็กและห่างไกลมากจนยากต่อการจดจำ[60] [61] [62] ในขณะที่ โจนาธาน เกลเซอร์ ผู้กำกับ The Zone of Interest ส่วนใหญ่ได้รับการยกย่องจากสุนทรพจน์รับรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ซึ่งเขาเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีในฉนวนกาซา[63] กระนั้นเขาก็ถูกชาวอิสราเอลบางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ [64]

อัล ปาชิโน ผู้ได้รับมอบหมายให้มอบรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในช่วงท้ายของพิธี ถูกวิจารณ์เนื่องจากไม่ได้เสนอชื่อผู้เข้าชิงทั้ง 10 คนก่อนที่จะประกาศผู้ชนะ[65] ปาชิโนกล่าวสั้น ๆ เปิดซองจดหมาย จากนั้นประกาศอย่างเชื่องช้าว่าออปเพนไฮเมอร์เป็นผู้ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ท่วงท่าการเดินบนเวทียังทำให้ผู้ชมกังวลถึงสุขภาพของเขาอีกด้วย[66]